ดินแดนภาษีต่ำ
ดินแดนภาษีต่ำ (อังกฤษ: tax haven) โดยทั่วไปนิยามว่าหมายถึง ประเทศหรือสถานที่ที่มีอัตราภาษี "ที่มีผลจริง" ต่ำมากสำหรับคนต่างด้าว (คือ ภาษี "ตามประกาศ" อาจสูงกว่า)[1][2][3] ในคำจำกัดความแบบดั้งเดิม ดินแดนภาษีต่ำยังเสนอการปกปิดทางการเงินด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศที่มีการปกปิดระดับสูงแต่ยังมีอัตราการเก็บภาษีสูงด้วย (เช่น สหรัฐและเยอรมนีในดัชนีการปกปิดทางการเงิน ("FSI")) อาจปรากฏอยู่ในรายการดินแดนภาษีต่ำบ้าง แต่จะไม่ถือว่าเป็นดินแดนภาษีต่ำโดยสากล ในทางตรงข้าม ประเทศที่มีระดับการปกปิดต่ำแต่ยังมีอัตราการจัดเก็บภาษี "ที่มีผลจริง" ต่ำไปด้วย (เช่น ไอร์แลนด์ในการจัดอันดับ FSI) ปรากฏอยู่ในรายการดินแดนภาษีต่ำส่วนมาก ความเห็นพ้องเกี่ยวกับอัตราภาษีที่มีผลจริงทำให้นักวิชาการสังเกตว่าคำว่า "ดินแดนภาษีต่ำ" และ "ศูนย์กลางการเงินนอกฝั่ง" (offshore financial centre) แทบเป็นไวพจน์กัน
ดินแดนภาษีต่ำที่ดั้งเดิม เช่น เจอร์ซีย์ เปิดเผยเกี่ยวกับการเก็บภาษีเป็นศูนย์ แต่มีผลทำให้มีสนธิสัญญาภาษีทวิภาคีน้อยฉบับ ดินแดนภาษีต่ำของบริษัทสมัยใหม่มีอัตราการจัดเก็บภาษี "ตามประกาศ" ไม่เป็นศูนย์ และมีระดับความร่วมมือกับโออีซีดีสูง ฉะนั้นจึงมีเครือข่ายสนธิสัญญาภาษีทวิภาคีขนาดใหญ่ ทว่า เครื่องมือการทลายฐานและโยกย้ายกำไร (Base erosion and profit shifting (“BEPS”)) ของดินแดนภาษีต่ำเหล่านี้ทำให้บริษัทสามารถมีอัตราภาษี "ที่มีผลจริง" เกือบเป็นศูนย์ ไม่เพียงแต่ในดินแดนภาษีต่ำเท่านั้น แต่ยังในทุกประเทศที่ดินแดนดังกล่าวมีสนธิสัญญาภาษีด้วย ทำให้ดินแดนนั้นอยู่ในรายการดินแดนภาษีต่ำ การศึกษาสมัยใหม่พบว่า 10 อันดับแรกของดินแดนภาษีต่ำรวมดินแดนภาษีต่ำที่มุ่งเน้นบริษัทด้วย ได้แก่ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก ฮ่องกง และแคริบเบียน (หมู่เกาะเคย์แมน เบอร์มิวดา และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน) มีลักษณะเป็นทั้งดินแดนภาษีต่ำแบบดั้งเดิมและดินแดนภาษีนิติบุคคลต่ำ โดยดินแดนภาษีนิติบุคคลต่ำมักจะทำหน้าที่เป็น "ทางผ่าน" ไปสู่ดินแดนภาษีต่ำแบบดั้งเดิม
การใช้ดินแดนภาษีต่ำ ทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ภาษีในประเทศที่ไม่ใช่ดินแดนภาษีต่ำ การประมาณการขนาดความเสียหายทางการเงินของการเลี่ยงภาษีแตกต่างกันออกไป แต่ที่น่าเชื่อถือที่สุดคือประมาณ 1-2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นอกจากนี้ทุนที่ถือครองในดินแดนภาษีต่ำ สามารถออกจากฐานภาษี (Base erosion) อย่างถาวร ประมาณการของเงินทุนในดินแดนภาษีต่ำก็แตกต่างกันออกไป การประมาณการที่น่าเชื่อถือที่สุดอยู่ระหว่าง 7-10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็น 10% ของทรัพย์สินทั่วโลก) อันตรายของดินแดนภาษีต่ำได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งต้องมีรายได้ภาษีเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
กว่า 15% ของประเทศต่างๆ มีลักษณะของดินแดนภาษีต่ำ ดินแดนภาษีต่ำส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จและมีระบบการปกครองที่ดี และการเป็นดินแดนภาษีต่ำได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวประชากร 10-15 อันดับแรก โดยไม่รวมผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซ เป็นดินแดนภาษีต่ำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวประชากรที่สูงขึ้น (เนื่องจาก BEPS ทางบัญชีไหลเข้า) ดินแดนภาษีต่ำมีแนวโน้มที่จะใช้ประโยชน์มากเกินไป จากทรัพย์สินที่ได้มา (เงินทุนระหว่างประเทศทำให้หนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ผิดไปจากที่ควรเป็น) สิ่งนี้สามารถนำไปสู่วัฏจักรสินเชื่อที่รุนแรง และ/หรือวิกฤตการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์/การธนาคาร เมื่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศถูกปรับค่าใหม่ เช่นที่ เสือเคลติก(Celtic Tiger, สมญานามของไอร์แลนด์) ของไอร์แลนด์ และวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ตามมาใน ค.ศ.2009–13 เป็นตัวอย่าง เจอร์ซีย์ก็เช่นกัน การวิจัยแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด และการใช้ประโยชน์จากดินแดนภาษีต่ำโดยบริษัทเอกชนในสหรัฐ ขยายรายรับด้านการคลังของสหรัฐในระยะยาว
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Financial Times Lexicon: Definition of tax haven". Financial Times. June 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-17. สืบค้นเมื่อ 2019-03-29.
A country with little or no taxation that offers foreign individuals or corporations residency so that they can avoid tax at home.
- ↑ "Tax haven definition and meaning | Collins English Dictionary" (ภาษาอังกฤษ). Collins Dictionary. สืบค้นเมื่อ 27 December 2017.
A tax haven is a country or place which has a low rate of tax so that people choose to live there or register companies there in order to avoid paying higher tax in their own countries.
- ↑ "Tax haven definition and meaning | Cambridge English Dictionary" (ภาษาอังกฤษ). Cambridge English Dictionary. 2018.
a place where people pay less tax than they would pay if they lived in their own country