ข้ามไปเนื้อหา

ฟุตบอลทีมชาติเวลส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เวลส์
Shirt badge/Association crest
ฉายามังกร (เวลส์: Y Dreigiau)
มังกรแดง (ฉายาในภาษาไทย)
สมาคมสมาคมฟุตบอลเวลส์ (FAW)
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนเคร็ก เบลลามี
กัปตันแอรอน แรมซีย์
ติดทีมชาติสูงสุดแกเร็ธ เบล (111)
ทำประตูสูงสุดแกเร็ธ เบล (41)
สนามเหย้าคาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม
รหัสฟีฟ่าWAL
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 29 Steady (20 มิถุนายน 2024)[1]
อันดับสูงสุด8 (ตุลาคม ค.ศ. 2015)
อันดับต่ำสุด117 (สิงหาคม ค.ศ. 2011)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติสกอตแลนด์ สกอตแลนด์ 4–0 เวลส์ ธงชาติเวลส์
(กลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์; 25 มีนาคม ค.ศ. 1876)
ชนะสูงสุด
ธงชาติเวลส์ เวลส์ 11–0 ไอร์แลนด์ ธงชาติไอร์แลนด์
(เร็กซัม ประเทศเวลส์; 3 มีนาคม ค.ศ. 1888)
แพ้สูงสุด
ธงชาติสกอตแลนด์ สกอตแลนด์ 9–0 เวลส์ ธงชาติเวลส์
(กลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์; 23 มีนาคม ค.ศ. 1878)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 1958)
ผลงานดีที่สุดรอบ 8 ทีมสุดท้าย (1958)
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 2016)
ผลงานดีที่สุดรอบรองชนะเลิศ (2016)
เว็บไซต์www.faw.cymru/en/

ฟุตบอลทีมชาติเวลส์ (เวลส์: Tîm pêl-droed cenedlaethol Cymru) เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนของประเทศเวลส์ในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชาติ บริหารงานโดยสมาคมฟุตบอลเวลส์ (FAW) และเป็นสมาชิกของยูฟ่า

แม้ประเทศเวลส์จะไม่ใช่ดินแดนที่เป็นรัฐเอกราช โดยมีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร แต่ก็มีสมาคมฟุตบอลและทีมชาติเป็นของตนเอง โดยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชาติในรายการสำคัญๆทุกรายการของฟีฟ่าและยูฟ่า อย่างไรก็ตามสำหรับการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิก ประเทศในเครือสหราชอาณาจักรอันประกอบไปด้วยอังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือต้องรวมทีมกันลงแข่งขันภายใต้ชื่อของสหราชอาณาจักร

ทีมชาติเวลส์จัดเป็นฟุตบอลทีมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอันดับที่ 3 รองจากทีมชาติอังกฤษและทีมชาติสก็อตแลนด์ แต่เคยผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในรายการสำคัญๆ เพียงแค่ 3 ครั้งคือฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020​ โดยทีมชาติเวลส์มีฉายาที่ตั้งขึ้นโดยสื่อมวลชนกีฬาในประเทศไทยว่า มังกรแดง

โดยผลงานดีที่สุดในระดับชาติที่ทีมชาติเวลส์เคยทำได้คือการผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1958 และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016

ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป เวลส์ตกรอบคัดเลือกโดยมีคะแนนตามหลังทีมชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ซึ่งอยู่อันดับ 2 เพียงแค่ 2 คะแนน อย่างไรก็ตามเวลส์สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้ายในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020​ ได้สำเร็จ

การจัดอันดับโลกของฟีฟ่าที่ทีมชาติเวลส์เคยทำได้สูงสุดคืออันดับที่ 8 (ตุลาคม 2015) ภายใต้การคุมทีมของ คริส โคลแมน โดยในเดือนกันยายน 2015 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ เวลส์ กลายเป็นทีมชาติที่มีอันดับโลกดีที่สุดในบรรดาทีมชาติในสหราชอาณาจักร

ประวัติ

[แก้]

ช่วงแรก

[แก้]

ทีมชาติเวลส์ลงแข่งขันฟุตบอลเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1876 โดยเป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับทีมชาติสก็อตแลนด์ ที่สนามแฮมิลตัน เครสเซนต์ ซึ่งเป็นสนามของทีมคริกเก็ตในเมืองกลาสโกว์ ทำให้เวลส์เป็นทีมฟุตบอลทีมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอันดับที่ 3 รองจากทีมชาติอังกฤษและทีมชาติสก็อตแลนด์ โดยการแข่งขันในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกของเวลส์จบลงด้วยการแพ้สก็อตแลนด์ถึง 4–0

ปีต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1877 ทีมชาติเวลส์และทีมชาติสก็อตแลนด์ กลับมาแข่งกันอีกครั้งที่สนามเรสคอส กราวน์ เมืองเร็กซ์แฮม ประเทศเวลส์ โดยถือเป็นการเล่นในฐานะเจ้าบ้านเป็นครั้งแรก และสก็อตแลนด์เอาชนะไปได้อีกครั้งด้วยผล 2–0

ทีมชาติเวลส์มีโอกาสลงแข่งขันกับทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1879 ที่สนามดิ โอวัล ในกรุงลอนดอน และเป็นฝ่ายแพ้ไป 2–1

ปี ค.ศ. 1882 ทีมชาติเวลส์ได้ลงแข่งกับทีมชาติเกาะไอร์แลนด์เป็นครั้งแรก ที่เมืองเร็กซ์แฮม และชนะไป 7–1 (ในสมัยนั้นเกาะไอร์แลนด์ยังไม่ได้แยกเป็นไอร์แลนด์เหนือและสาธารณรัฐไอร์แลนด์)

วอลเตอร์ ร็อบบินส์ ผู้ยิงประตูให้ทีมชาติเวลส์ในการแข่งขันนอกสหราชอาณาจักรได้เป็นคนแรก

สมาคมฟุตบอลเวลส์เข้าร่วมเป็นสมาชิกของฟีฟ่าครั้งแรกในปี ค.ศ. 1906 แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักระหว่างฟีฟ่าและสมาคมฟุตบอลของประเทศในเครือสหราชอาณาจักร ทำให้สมาคมฟุตบอลเวลส์ถูกถอดถอนออกจากการเป็นสมาชิกของฟีฟ่าในปี ค.ศ. 1928 ทำให้ไม่มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 1930 ซึ่งเป็นการจัดฟุตบอลโลกสมัยแรก และในอีก 2 ครั้งต่อมา

โดยการเดินทางออกไปแข่งขันภายนอกสหราชอาณาจักรเป็นครั้งแรกของทีมชาติเวลส์ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1933 เมื่อนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์เดินทางไปที่กรุงปารีส เพื่อลงแข่งขันกับทีมชาติฝรั่งเศส ในวันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งผลจบลงด้วยการเสมอกัน 1–1 และ วอลเตอร์ ร็อบบินส์ กองหน้าสังกัดสโมสรเวสต์บรอมมิช อัลเบียน ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสมาคมฟุตบอลเวลส์ว่าเป็นนักฟุตบอลทีมชาติคนแรกที่ยิงประตูได้ในการแข่งขันนอกสหราชอาณาจักร

หลังจบสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1946 สมาคมฟุตบอลเวลส์ได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกของฟีฟ่าอีกครั้ง พร้อมๆกับสมาคมฟุตบอลของประเทศในเครือสหราชอาณาจักรอื่นๆ และลงแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1950 แต่ทีมชาติเวลส์จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม

อย่างไรก็ตามในยุค 50 ถือเป็นยุคทองของทีมชาติเวลส์ เมื่อทีมชาติในยุคนั้นอุดมไปด้วยดารานักเตะดังๆแทบจะทั้งทีมเช่น อิวอร์ ออลเชิร์ช, คลิฟฟ์ โจนส์, เทรเวอร์ ฟอร์ด และ จอห์น ชาร์ลส์

ฟุตบอลโลก 1958

[แก้]

ทีมชาติเวลส์ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกและครั้งเดียวในฟุตบอลโลก 1958 ที่ประเทศสวีเดน ภายใต้การคุมทีมของ จิมมี่ เมอร์ฟี่ โดยในรอบแบ่งกลุ่มถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 3 ร่วมกับทีมชาติสวีเดน ที่เป็นเจ้าภาพ ,ทีมชาติฮังการี และทีมชาติเม็กซิโก

โดยการแข่งฟุตบอลโลกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเวลส์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1958 ที่สนามเจิร์นวัลเล่น เมืองแซนด์ไวเค่น เป็นการแข่งขันในรอบแรกระหว่างทีมชาติฮังการี และ ทีมชาติเวลส์ ผลจบลงด้วยการเสมอกันไป 1–1 ฮังการีได้ประตูขึ้นนำก่อนจากโจเซฟ บอสซิก ส่วนเวลส์ตีเสมอได้จาก จอห์น ชาร์ลส์ กองหน้าสังกัดยูเวนตุส ทำให้จอห์น ชาร์ลส์ ถูกบันทึกว่าเป็นนักเตะทีมชาติคนแรกของเวลส์ที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลก

นัดต่อมาเวลส์เสมอกับทีมชาติเม็กซิโก 1–1 โดยเวลส์ได้ประตูขึ้นนำก่อนจากลูกยิงของอิวอร์ ออลเชิร์ช ก่อนที่ไคเม่ เบลมอนเต้จะตีเสมอให้เม็กซิโก

ผลจากการที่นัดสุดท้ายในรอบแรก ทีมชาติเวลส์เสมอกับเจ้าภาพสวีเดน 0–0 ทำให้สวีเดนผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ส่วนเวลส์ มี 3 คะแนนเท่ากับฮังการี ต้องตัดสินด้วยการเพลย์ออฟ เพื่อหาทีมที่จะเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป

การแข่งขันเพลย์ออฟ ระหว่างเวลส์และฮังการี่ ทีมชาติเวลส์เสียประตูก่อนในครึ่งแรก แต่มายิงคืนได้ 2 ประตูรวดจากอิวอร์ ออลเชิร์ช ที่ยิงตีเสมอ และได้ประตูชัยจากเทอร์รี่ เมดวิน ปีกจากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในช่วงท้ายเกมส์ ทำให้ผ่านเข้าไปสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป

ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเวลส์ต้องพบกับทีมชาติบราซิล และจอห์น ชาร์ลส์ กองหน้าตัวสำคัญของทีมก็ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในที่สุดเวลส์ก็แพ้บราซิลไป 1–0 โดยผู้ที่ยิงประตูให้ทีมชาติบราซิลได้ในแมตช์ดังกล่าวเป็นนักเตะหนุ่มที่อายุเพียง 17 ปี ของสโมสรซานโต๊ส และประตูนี้เป็นประตูแรกของเขาในนามทีมชาติบราซิล อีกทั้งยังส่งผลให้เขาเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ในฟุตบอลโลกจนถึงปัจจุบัน หลังจบทัวนาเมนต์บราซิลคว้าตำแหน่งแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ และนักฟุตบอลหนุ่มที่ยิงประตูได้ในแมตช์นี้กลายเป็นกองหน้าระดับตำนานของวงการฟุตบอลในเวลาต่อมา นักฟุตบอลหนุ่มคนนี้มีชื่อเล่นว่า "เปเล่"

ผู้เล่น

[แก้]

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

[แก้]

รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022

จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2022 หลังแข่งขันกับ อิหร่าน

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK เวย์น เฮนเนสซีย์ (1987-01-24) 24 มกราคม ค.ศ. 1987 (37 ปี) 108 0 อังกฤษ นอตทิงแฮมฟอเรสต์
12 1GK แดนนี วอร์ด (1993-06-22) 22 มิถุนายน ค.ศ. 1993 (31 ปี) 27 0 อังกฤษ เลสเตอร์ซิตี
21 1GK แอดัม เดวิส (1992-07-17) 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1992 (32 ปี) 4 0 อังกฤษ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด

2 2DF คริส กันเทอร์ (1989-07-21) 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 (35 ปี) 109 0 อังกฤษ วิมเบิลดัน
3 2DF นีโก วิลเลียมส์ (2001-04-13) 13 เมษายน ค.ศ. 2001 (23 ปี) 25 2 อังกฤษ นอตทิงแฮมฟอเรสต์
4 2DF เบน เดวิส (1993-04-24) 24 เมษายน ค.ศ. 1993 (31 ปี) 76 1 อังกฤษ ทอตนัมฮอตสเปอร์
5 2DF คริส เม็ฟฟัม (1997-11-05) 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (27 ปี) 35 0 อังกฤษ บอร์นมัท
6 2DF โจ โรดัน (1997-10-22) 22 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 32 0 ฝรั่งเศส สตาดแรแน
14 2DF คอนเนอร์ รอเบิตส์ (1995-09-23) 23 กันยายน ค.ศ. 1995 (29 ปี) 43 3 อังกฤษ เบิร์นลีย์
15 2DF อีทัน แอมพาดู (2000-09-14) 14 กันยายน ค.ศ. 2000 (24 ปี) 39 0 อิตาลี สเปเซีย
17 2DF ทอม ล็อกเยอร์ (1994-12-03) 3 ธันวาคม ค.ศ. 1994 (29 ปี) 14 0 อังกฤษ ลูตันทาวน์
24 2DF เบน คาแบงโก (2000-05-30) 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 (24 ปี) 5 0 เวลส์ สวอนซีซิตี

7 3MF โจ แอลเลน (1990-03-14) 14 มีนาคม ค.ศ. 1990 (34 ปี) 73 2 เวลส์ สวอนซีซิตี
8 3MF แฮร์รี วิลสัน (1997-03-22) 22 มีนาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 41 5 อังกฤษ ฟูลัม
10 3MF แอรอน แรมซีย์ (กัปตัน) (1990-12-26) 26 ธันวาคม ค.ศ. 1990 (33 ปี) 77 20 ฝรั่งเศส นิส
16 3MF โจ มอร์เรลล์ (1997-01-03) 3 มกราคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 31 0 อังกฤษ พอร์ตสมัท
18 3MF จอนนี วิลเลียมส์ (1993-10-09) 9 ตุลาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี) 33 2 อังกฤษ สวินดัน ทาวน์
22 3MF ซอร์บา ทอมัส (1999-01-25) 25 มกราคม ค.ศ. 1999 (25 ปี) 7 0 อังกฤษ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์
23 3MF ดิลัน เลวิตต์ (2000-11-17) 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 (24 ปี) 13 0 สกอตแลนด์ ดันดี ยูไนเต็ด
25 3MF รูบิน คอลวิลล์ (2002-04-27) 27 เมษายน ค.ศ. 2002 (22 ปี) 7 1 เวลส์ คาร์ดิฟฟ์ซิตี
26 3MF แมตทิว สมิท (1999-11-22) 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1999 (25 ปี) 19 0 อังกฤษ มิลตันคีนส์ดอนส์

9 4FW เบรนนัน จอห์นสัน (2001-05-23) 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 (23 ปี) 17 2 อังกฤษ นอตทิงแฮมฟอเรสต์
11 4FW แกเร็ท เบล (กัปตัน) (1989-07-16) 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 (35 ปี) 110 41 สหรัฐ ลอสแอนเจลิส
13 4FW คีฟเฟอร์ มัวร์ (1992-08-08) 8 สิงหาคม ค.ศ. 1992 (32 ปี) 30 9 อังกฤษ บอร์นมัท
19 4FW มาร์ก แฮร์ริส (1998-12-29) 29 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (25 ปี) 5 0 เวลส์ คาร์ดิฟฟ์ซิตี
20 4FW แดเนียล เจมส์ (1997-11-10) 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (27 ปี) 40 5 อังกฤษ ฟูลัม

ผู้เล่นที่ลงเล่นให้ทีมชาติมากที่สุด

[แก้]
ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2024[2] (แถบสีฟ้าคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้ทีมชาติอยู่ในปัจจุบัน):
แกเร็ท เบล ผู้เล่นที่ลงสนามให้ทีมชาติเวลส์มากที่สุดเป็นอันดับ 1
อันดับ ชื่อ ช่วงเวลา จำนวนนัดที่ลงสนาม ประตู สโมสร
1 แกเร็ท เบล 2006–2022 111 41 เซาท์แฮมป์ตัน
ทอตนัม ฮอตสเปอร์
เรอัลมาดริด
ลอสแอนเจลิส
2 คริส กันเทอร์ 2007–2022 109 0 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
ทอตนัม ฮอตสเปอร์
นอตติงแฮม ฟอเรสต์
เรดดิง
ชาร์ลตัน แอธเลติก
เวย์น เฮนเนสซีย์ 2007–ปัจจุบัน 109 0 วูลฟ์แฮมป์ตัน
คริสตัล พาเลซ
เบิร์นลีย์
นอตติงแฮม ฟอเรสต์
4 เนวิลล์ ซัททอลล์ 1982–1998 92 0 เอฟเวอร์ตัน
5 แอชลีย์ วิลเลียมส์ 2008–2019 86 2 สวอนซี ซิตี
เอฟเวอร์ตัน
สโตก ซิตี
เบน เดวีส์ 2012–ปัจจุบัน 86 2 สวอนซี ซิตี
ทอตนัมฮอตสเปอร์
7 แกรี่ สปีด 1990–2004 85 7 ลีดส์ ยูไนเต็ด
เอฟเวอร์ตัน
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
8 แอรอน แรมซีย์ 2008–ปัจจุบัน 84 21 อาร์เซนอล
ยูเวนตุส
เรนเจอส์
โอเฌเซ นิส
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
9 เครก เบลลามี 1998–2013 78 19 นอริช ซิตี
โคเวนทรี ซิตี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
เซลติก
แบล็คเบิร์น โรเวอส์
ลิเวอร์พูล
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
10 โจ เลดลีย์ 2005–2018 77 4 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
เซลติก
คริสตัล พาเลซ
ดาร์บี เคาน์ตี
11 ดีน ซอนเดอร์ส 1986–2001 75 22 ไบรท์ตัน
ออกซฟอร์ด ยูไนเต็ด
ดาร์บี เคาน์ตี
ลิเวอร์พูล
แอสตันวิลลา
กาลาตาซาราย
นอตติงแฮม ฟอเรสต์
เบนฟิกา
12 โจ แอลเลน 2009–2022 74 2 สวอนซี ซิตี
ลิเวอร์พูล
สโตก ซิตี
13 ปีเตอร์ นิโคลัส 1979–1992 73 2 คริสตัล พาเลซ
อาร์เซนอล
ลูตัน ทาวน์
อเบอร์ดีน
เชลซี
วัตฟอร์ด
เอียน รัช 1980–1996 73 28 ลิเวอร์พูล
ยูเวนตุส
15 มาร์ค ฮิวจ์ส 1984–1999 72 16 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
บาร์เยิร์น มิวนิก
บาร์เซโลนา
เชลซี
เซาท์แฮมป์ตัน
โจอี้ โจนส์ 1975–1986 72 1 ลิเวอร์พูล
เร็กซ์แฮม
เชลซี
ฮัดเดอส์ฟีลด์ ทาวน์
17 อิวอร์ ออลเชิร์ช 1950–1966 68 23 สวอนซี ซิตี
นิวคาสเซิล
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
18 ไบรอัน ฟลินน์ 1975–1984 66 7 เบิร์นลีย์
ลีดส์ ยูไนเต็ด
19 แอนดี เมลวิลล์ 1989–2004 65 3 สวอนซี ซิตี
ออกซฟอร์ด ยูไนเต็ด
ซันเดอร์แลนด์
ฟูแลม
20 ไรอัน กิกส์ 1991–2007 64 12 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
แซม โวกส์ 2008–2019 64 11 วูลฟ์แฮมป์ตัน
เบิร์นลีย์
สโตก ซิตี
สถิติ ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2024 หลังแข่งกับ  สโลวาเกีย สโลวาเกีย

รางวัลโกลเดน แคป

[แก้]

สมาคมฟุตบอลเวลส์ ได้จัดให้มีการมอบรางวัล โกลเดน แคป หรือ หมวกทีมชาติทองคำ ให้แก่นักฟุตบอลที่ลงเล่นให้กับทีมชาติมากกว่า 50 นัด ดังรายชื่อต่อไปนี้[3] สังเกต: ผู้ที่ยังคงเล่นให้กับทีมชาติจะแสดงเป็น ตัวหนา:

ผู้ทำประตูสูงสุด

[แก้]
แกเร็ท เบล ผู้ถือครองสถิติยิงประตูสูงสุดให้ทีมชาติเวลส์

แถบสีฟ้าคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้ทีมชาติอยู่ในปัจจุบัน

อันดับ ชื่อ ช่วงเวลา ประตู จำนวนนัดที่ลงสนาม ค่าเฉลี่ยการยิงต่อหนึ่งนัด สโมสร
1 แกเร็ธ เบล 2006–2022 41 111 0.36 เซาท์แฮมป์ตัน
ท็อตนัม ฮอตสเปอร์
รีล มาดริด
ลอสแอนเจลิส
2 เอียน รัช 1980–1996 28 73 0.38 ลิเวอร์พูล
ยูเวนตุส
3 เทรเวอร์ ฟอร์ด 1946–1956 23 38 0.60 สวอนซี ซิตี
แอสตัน วิลลา
ซันเดอร์แลนด์
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
อิวอร์ ออลเชิร์ช 1950–1966 23 68 0.33 สวอนซี ซิตี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
5 ดีน ซอนเดอร์ส 1986–2001 22 75 0.29 ไบรท์ตัน
ออกซฟอร์ด ยูไนเต็ด
ดาร์บี เคาน์ตี
ลิเวอร์พูล
แอสตัน วิลลา
กาลาตาซาราย
นอตติงแฮม ฟอเรสต์
เบนฟิกา
6 แอรอน แรมซีย์ 2008–ปัจจุบัน 21 84 0.25 อาร์เซนอล
ยูเวนตุส
เรนเจอส์
โอเฌเซ นิส
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
7 เคร็ก เบลลามี่ 1998–2013 19 76 0.25 นอริช ซิตี
โคเวนทรี ซิตี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
เซลติก
แบล็คเบิร์น โรเวอส์
ลิเวอร์พูล
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
8 คลิฟฟ์ โจนส์ 1954–1969 16 59 0.27 สวอนซี ทาวน์
ท็อตนัม ฮอตสเปอร์
ฟูแลม
มาร์ค ฮิวจ์ส 1984–1999 16 72 0.22 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
บาร์เยิร์น มิวนิก
บาร์เซโลนา
เชลซี
เซาท์แฮมป์ตัน
โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ 2002–2012 16 58 0.27 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
นอริช ซิตี
ดาร์บี เคาน์ตี
เวสต์บรอมวิช อัลเบียน
นอตติงแฮม ฟอเรสต์
11 จอห์น ชาร์ลส์ 1950–1965 15 38 0.39 ลีดส์ ยูไนเต็ด
ยูเวนตุส
โรมา
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
12 จอห์น ฮาร์ทสัน 1995–2005 14 51 0.27 อาร์เซนอล
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
วิมเบิลดัน
เซลติก
13 จอห์น ทอแช็ก 1969–1980 13 40 0.32 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
ลิเวอร์พูล
สวอนซี ซิตี
14 ได แอสต์ลีย์ 1931–1939 12 13 0.92 ชาร์ลตัน แอทเลติก
แอสตัน วิลลา
ดาร์บี เคาน์ตี
ไรอัน กิกส์ 1991–2007 12 64 0.18 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
คีฟเฟอร์ มัวร์ 2019–ปัจจุบัน 12 43 0.27 วีแกน แอทเลติก
คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
บอร์นมัท
อิปสวิช ทาวน์
สถิติ ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2022 หลังแข่งกับ  เนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์

สถิติด้านอายุ

[แก้]
  • ผู้เล่นทีมชาติที่มีอายุน้อยที่สุด :แฮร์รี วิลสัน (16 ปี 207 วัน)
  • ผู้เล่นทีมชาติที่มีอายุมากที่สุด :บิลลี่ เมเรดิธ (45 ปี 229 วัน)
  • ผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในการแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย :รอย เวอร์นอน (21 ปี 42 วัน)
  • ผู้เล่นอายุมากที่สุดในการแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย :เดฟ โบเวน (30 ปี 1 วัน)

นักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี

[แก้]
  • รางวัลนักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี โดยสมาคมฟุตบอลเวลส์ (FAW) เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ.1993
ปี ผู้เล่น สโมสร อ้างอิง
1993 มาร์ค ฮิวจ์ส อังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด [4]
1994 มาร์ค ฮิวจ์ส อังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด [4]
1996 ไรอัน กิกส์ อังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
1998 จอห์น ฮาร์ทสัน อังกฤษ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด [5]
1999 พอล โจนส์ อังกฤษ เซาท์แฮมป์ตัน [6]
2000 จอห์น โรบินสัน อังกฤษ ชาร์ลตัน แอธเลติก [7]
2001 จอห์น ฮาร์ทสัน อังกฤษ วิมเบิลดัน
อังกฤษ โคเวนทรี ซิตี
สกอตแลนด์ เซลติก
[5]
2002 ไซมอน เดวิส อังกฤษ สเปอร์ [8]
2003 จอห์น ฮาร์ทสัน สกอตแลนด์ เซลติก [5]
2004 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ อังกฤษ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
อังกฤษ เวสต์ บรอมมิช
[9]
2005 แดนนี แกบบิดอน อังกฤษ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี
อังกฤษ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
[10]
2006 ไรอัน กิกส์ อังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด [11]
2007 เคร็ก เบลลามี อังกฤษ ลิเวอร์พูล
อังกฤษ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
[12]
2008 ไซมอน เดวิส อังกฤษ ฟูแลม [13]
2009 แอชลีย์ วิลเลียมส์ อังกฤษ สวอนซี ซิตี [14]
2010 แกเร็ธ เบล อังกฤษ สเปอร์ [15]
2011 แกเร็ธ เบล อังกฤษ สเปอร์ [16]
2012 โจ แอลเลน อังกฤษ สวอนซี ซิตี
อังกฤษ ลิเวอร์พูล
[9]
2013 แกเร็ธ เบล อังกฤษ สเปอร์
สเปน เรอัลมาดริด
[17]
2014 แกเร็ธ เบล สเปน เรอัลมาดริด [18]
2015 แกเร็ธ เบล สเปน เรอัลมาดริด [19]
2016 แกเร็ธ เบล สเปน เรอัลมาดริด [20]
2017 คริส กันเทอร์ อังกฤษ เรดิง [21]
2018 เดวิด บรูคส์ อังกฤษ บอร์นมัท [22]

ชุดที่ใช้สำหรับการแข่งขัน

[แก้]
ผู้สนับสนุน ช่วงปี
อังกฤษ แอดมิรัล สปอร์ตแวร์ 1976-1980
เยอรมนี อาดิดาส 1980-1986
เดนมาร์ก ฮัมเมล 1987-1989
อังกฤษ อัมโบร 1990-1994
อิตาลี ล็อตโต้ 1996-2000
อิตาลี แคปปา 2000-2008
สหรัฐ แชมเปียน 2008-2010
อังกฤษ อัมโบร 2010-2013
เยอรมนี อาดิดาส 2013-ปัจจุบัน

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 20 มิถุนายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2024.
  2. Alpuin, Luis Fernando Passo (20 February 2009). "Wales – Record International Players". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 10 March 2009.
  3. http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/internationals/wales/3136474.stm
  4. 4.0 4.1 "GARETH RETAINS FAW AWARD". Tottenham Hotspur F.C. 5 October 2011. สืบค้นเมื่อ 14 May 2017.
  5. 5.0 5.1 5.2 "John Hartson: Hartson determined to pass his biggest test". The Independent. 15 November 2003. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  6. "PAUL JONES SCOOPS TOP WELSH AWARD". Sky Sports. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  7. "Robinson named Player of the Year". BBC Sport. 4 October 2000. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  8. "SIMON SCOOPS TOP AWARD". Tottenham Hotspur F.C. 11 October 2002. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  9. 9.0 9.1 "Allen named Wales' player of the year". UEFA.com. 9 October 2012. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  10. "Gabbidon voted top Welsh player". BBC Sport. 4 October 2005. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  11. "Giggs claims Welsh award honour". BBC Sport. 3 October 2006. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  12. "Bellamy nets Welsh player award". BBC Sport. 13 November 2007. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  13. "Davies wins Welsh football gong". BBC Sport. 7 October 2008. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  14. "Williams takes top Welsh awards". BBC Sport. 11 November 2009. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  15. "Gareth Bale named Wales' player of the year". BBC Sport. 4 October 2010. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  16. "Gareth Bale retains FA of Wales player of the year award". BBC Sport. 4 October 2011. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  17. "Bale wins Welsh player award". The Daily Express. 7 October 2013. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  18. "Gareth Bale wins Welsh player award for record fourth time". BBC Sport. 6 October 2014. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  19. "Gareth Bale: Real Madrid forward named Welsh player of the year". BBC Sport. 5 October 2015. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  20. "Gareth Bale and Joe Allen lead Wales award winners". BBC Sport. 8 November 2015. สืบค้นเมื่อ 12 November 2016.
  21. Chris Gunter: Reading defender beats Gareth Bale to Wales player of year award, BBC Sport, 2 October 2017, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-03, สืบค้นเมื่อ 3 October 2017
  22. https://www.skysports.com/football/news/12018/11672270/david-brooks-named-welsh-footballer-of-the-year

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]