ช็อน ดู-ฮวัน
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ช็อน ดู-ฮวัน | |
---|---|
전두환 | |
ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คนที่ 5 | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2523 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 | |
ก่อนหน้า | ชเว กยู-ฮา |
ถัดไป | โน แท-อู |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 18 มกราคม พ.ศ. 2474 Naecheon-ri, Yulgok-myeon, ฮับช็อน เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น (ปัจจุบันคือฮับช็อน จังหวัดคย็องซังใต้ ประเทศเกาหลีใต้) |
เสียชีวิต | 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 (90 ปี)[1] |
ศาสนา | พุทธ (เดิมนับถือโรมันคาทอลิก) |
พรรคการเมือง | สาธารณรัฐประชาธิปไตย |
คู่สมรส | อี ซุน-จา (2501–2564) |
ลายมือชื่อ | |
ช็อน ดู-ฮวัน | |
ฮันกึล | 전두환 |
---|---|
ฮันจา | |
อาร์อาร์ | Jeon Duhwan |
เอ็มอาร์ | Chŏn Tuhwan |
นามปากกา | |
ฮันกึล | 일해 |
ฮันจา | |
อาร์อาร์ | Ilhae |
เอ็มอาร์ | Irhae |
พลเอก ช็อน ดู-ฮวัน (อักษรโรมัน: Chun Doo-hwan; 18 มกราคม พ.ศ. 2474 – 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564) คืออดีตนักการเมืองและนายทหารประจำกองทัพสาธารณรัฐเกาหลี เป็นอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระหว่าง พ.ศ. 2523 - 2531
ช็อนได้ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2539 เนื่องจากการจัดการกับผู้ชุมนุมในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูอย่างเข้มงวดและรุนแรงเกินเหตุ แต่ในเวลาต่อมาได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีคิม ย็อง-ซัมด้วยคำแนะนำของประธานาธิบดีคนต่อมาคิม แด-จุง ซึ่งเคยถูกช็อน ดู-ฮวันตัดสินประหารชีวิตเมื่อ 20 ปีก่อน
ชีวิตในช่วงเริ่มแรก
[แก้]ช็อน ดู-ฮวันเกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2474 ที่ยูลกอกมยอง ในหมู่บ้านเกษตรกรที่ยากจนในเมืองฮับช็อน จังหวัดคยองซานใต้ ระหว่างการยึดครองเกาหลีของจักรวรรดิญี่ปุ่น ช็อนเป็นบุตรชายคนที่สี่ของ ช็อน ซางอูและคิม จองมุน[2] ช็อนมีพี่ชาย 2 คน คือ ยอลฮวาน และ คยูกอน ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่ยังเป็นทารก ฉะนั้นเมื่อเติบโตขึ้นช็อนจึงยังรู้จักและสนิทกับพี่ชายคือ กิฮวาน และ น้องชายคยองฮวาน
ประมาณ พ.ศ. 2479 ครอบครัวของช็อนย้ายไปยัง แดกู ที่ช็อนได้เริ่มเข้าศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาโฮรัน พ่อของช็อนเคยทะเลาะกับตำรวจของญี่ปุ่น (เก็มเปไต) และพ่อของเขาได้ฆาตกรรมกัปตันของตำรวจญี่ปุ่นในฤดูหนาว พ.ศ. 2482[2] ทำให้ครอบครัวของเขาต้องหลบหนีไปยังมณฑลจี๋หลิน ประเทศจีน เป็นเวลา 2 ปีจึงได้กลับเกาหลี ซึ่งทำให้เขาได้หยุดเรียนหนังสือไป 2-3 ปี
ใน พ.ศ. 2490 ช็อน ดู-ฮวันได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมต้นอาชีวศึกษาแดกู ซึ่งห่างจากบ้านของเขาถึง 25 กิโลเมตร[2]และเขาได้ย้ายไปยังโรงเรียนมัธยมปลายอาชีวะศึกษาแดกู ได้รับยกเว้นผลการเรียนเมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้น
ประวัติการรับราชการทหาร
[แก้]ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากชั้นมัธยมปลายใน พ.ศ. 2494 ช็อน ดู-ฮวัน ได้เข้าไปในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงคือ โรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลี (Korea Military Academy) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้ผูกมิตรไว้กับหลายคนระหว่างนักเรียนด้วยกัน ซึ่งต่อมาจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาทำการยึดอำนาจในอีกหลายปีต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2498 และได้รับการแต่งตั้งยศร้อยตรี โดยสำเสร็จการศึกษาในรุ่น 11[3]
ในขณะที่ช็อน มียศร้อยเอก เขาได้เป็นผู้นำการชุมนุมที่โรงเรียนกองทัพบกเกาหลีระหว่างการรัฐประหารวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 เพื่อสนับสนุนพัก จองฮี ในการขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อมาเขาถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสภาสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติ[3] ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขึ้นโดยตรงกับประธานาธิบดีพัก และช็อนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรีอย่างรวดเร็วใน พ.ศ. 2505 ซึ่งเขายังได้สร้างฐานอำนาจให้กับเพื่อนและคนรู้จักอย่างต่อเนื่อง และช็อนยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองบัญชาการและต่อมาก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งที่สภาสูงสุดเพื่อการฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติในตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายกิจการพลเรือน ใน พ.ศ. 2506 ช็อนได้รับตำแหน่งในองค์การประมวลข่าวกรองเกาหลีใต้ ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล ใน พ.ศ. 2512 เขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาเสนาธิการทหาร
ใน พ.ศ. 2513 ช็อนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันเอก เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการประจำกรมทหารที่ 29 กองทหารราบที่ 9 และมีส่วนร่วมในสงครามเวียดนาม ภายหลังได้กลับมายังเกาหลีใต้ใน พ.ศ. 2514 เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษกองพลน้อยที่ 1 (กองขนส่งทางอากาศ) และต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลระดับ 1 (1성 장군) และใน พ.ศ. 2519 ได้รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการหน่วยงานความมั่นคงสำนักประธานาธิบดี และได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นนายพลระดับ 2 (2성 장군) ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และใน พ.ศ. 2521 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทหารราบที่ 1[3]
และใน พ.ศ. 2522 ช็อนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการในกองบัญชาการรักษาความมั่นคง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดของเขาในขณะนั้น
ขึ้นสู่อำนาจ
[แก้]ฮานาเฮว
[แก้]ช็อนจัดตั้งกลุ่มฮานาเฮว ซึ่งเป็นชมรมลับของเหล่าทหาร ตั้งขึ้นไม่นานหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งนายพล สมาชิกกลุ่มส่วนมากอยู่ในรุ่น 11 ของโรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลี,เพื่อนกลุ่มอื่นๆและผู้สนับสนุนของเขา
เหตุการณ์การสังหารประธานาธิบดี พัก จองฮี
[แก้]ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ประธานาธิบดีพัก จองฮีถูกลอบสังหารโดย คิม เจคยู ผู้อำนายการสำนักข่าวกรองกลางเกาหลี ในขณะที่อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ คิมได้เชิญนายพล จอง เซิงฮวา เสนาธิการทหารบก และ คิม จองโซบ รองผู้อำนวยการข่าวกรองกลางเกาหลี มารับประทานอาหารค่ำอย่างลับๆในห้องอื่นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่า จอง เซิงฮวา จะปฏิเสธว่าไม่ได้ปรากฏตัวและมีส่วนข้องกับการสังหารประธานาธิบดีพัก แต่ความเกี่ยวข้องของเขาก็เป็นข้อพิสูจน์ว่ามีความสำคัญอย่างมากในเวลาต่อมา ในชั่วโมงแห่งความโกลาหล คิม เจคยูก็ไม่ได้ถูกจับเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพราะรายละเอียดในขั้นต้นยังไม่ชัดแจ้ง
เมื่อผ่านชั่วเวลาแห่งความสับสน ในกระบวนการตามรัฐธรรมนูญเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เช กิวฮา ขึ้นรักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่นานหลังจากนั้น นายพลจอง ซึงฮวาภายใต้ชื่อกองบัญชาการรักษาความมั่นคงของช็อนได้มุ่งทำการสืบสวนการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ช็อนได้มีคำสั่งอย่างทันทีให้ผู้ใต้บังคับบัญชาร่างแผนที่จะให้มีอำนาจเต็มใน "กองบัญชาการการสืบสวนร่วม"[4]
วันที่ 27 ตุลาคม ช็อนจัดประชุมที่กองบัญชาการของเขา ได้เชิญบุคคลสำคัญ 4 คนซึ่งรับผิดชอบในเรื่องของหน่วยข่าวกรองทั่วประเทศได้แก่ รองผู้บัญชาการฝ่ายต่างประเทศสำนักงานข่าวกรองกลาง,รองผู้บัญชาการฝ่ายกิจการภายในสำนักข่าวกรองกลาง,อัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ[4] ช็อนให้แต่ละคนค้นหาข้อมูลที่ประตูที่เขาเข้ามา ก่อนที่จะให้พวกเขานั่งและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตายของประธานาธิบดี ช็อนประกาศว่าหน่วยข่าวกรองกลางต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ให้เหตุการณ์การสังหารประธานาธิบดี เพราะฉะนั้นจึงต้องสอบสวนเหตุการณ์นี้ ช็อนประกาศว่าจะไม่ให้หน่วยงานข่าวกรองกลางมีอำนาจบริหารงบประมาณเป็นของตัวเองอีกต่อไป
สำหรับหน่วยข่าวกรองกลาง "ในการดำเนินการที่มีความอิสระในการตัดสินใจในงบประมาณของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะยอมรับได้ เพราะฉะนั้น พวกเขาสามารถดำเนินการในหน้าที่ของพวกเขาที่ได้รับมอบอำนาจจากกองบัญชาการการสืบสวนร่วมเท่านั้น"
— ช็อน ดู-ฮวัน, ผู้บัญชาการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคง และ กองบัญชาการการสืบสวนร่วม , 27 ตุลาคม 2522
ช็อนยังได้มีคำสั่งต่อจากนั้นให้หน่วยข่าวกรองทุกหน่วยรายงานไปยังสำนักงานของเขาทุกวันเวลา 08.00 น. และเวลา 17.00 น. ทุกวัน ดังนั้นช็อนจึงสามารถตัดสินใจว่าข้อมูลอะไรที่ทำให้เขาสามารถบัญชาการได้มากขึ้น ในอีกก้าวหนึ่ง ช็อนได้ควบคุมหน่วยงานข่าวกรองทุกหน่วยทั่วทั้งประเทศ และช็อนได้ตั้งรองผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองด้านต่างประเทศให้ดูแลรับผิดชอบกิจการของหน่วยข่าวกรองกลางในแต่ละวัน
พันตรี พัก จุนกวาง ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของช็อนในเวลานั้นได้วิจารณ์ว่า
"ช็อนอยู่ต่อหน้าองค์กรที่ทรงอำนาจมากที่สุดภายใต้ประธานาธิบดีพัก จองฮี เป็นที่น่าประหลาดใจว่าช็อนสามารถควบคุมหน่วยงานต่างๆได้ และใช้ความสามารถของเขาทำให้เขาได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นั้น และในขณะนั้นดูเหมือนว่าเขาจะมีอำนาจที่โตขึ้นอย่างมาก"
— พัก จุงกวาง, ขณะที่อยู่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคง และ กองบัญชาการการสืบสวนร่วม
รัฐประหาร 12 ธันวาคม
[แก้]ในเดือนธันวาคม ช็อน ดู-ฮวันพร้อมกับโนห์ แทวู,จอง โฮยอง,ยู ฮักซอง,ฮโย ซัมซูและเพื่อนร่วมรุ่น 11 ของโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยอาศัยความได้เปรียบจากสถานการณ์การเมืองที่บอบบางและการเติบโตขึ้นของกลุ่มฮานาเฮว การได้ตัวผู้บัญชาการคนสำคัญและการล้มล้างกลุ่มองค์กรของหน่วยข่าวกรองของชาติ
ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ช็อนออกคำสั่งโดยไม่ได้รับมอบอำนาจจากประธานาธิบดี ชเว คยูฮา โดยการออกคำสั่งโดยมิชอบให้จับกุมตัวผู้บัญชาการทหารบก จอง ซึงฮวาในฐานสมคบคิดกับคิม เจคยูสังหารประธานาธิบดี ระหว่างการจับกุมมีการปะทะกันเกิดขึ้น พันตรี คิม โอราง ที่ปรึกษาของนายพลจอง ได้เสียชีวิตระหว่างการปะทะ
การรวมอำนาจ
[แก้]ต้นปี พ.ศ. 2523 ช็อนได้รับการเลื่อนยศเป็น พลโท และเขาได้เริ่มเข้ามาสนใจในตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลาง ในวันที่ 14 เมษายน ช็อนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลาง
ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจู และ การใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซง
[แก้]วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ช็อนได้ทำการขยายเขตการใช้กฎอัยการศึกไปทั่วประเทศ โดยกล่าวหาว่ามีข่าวลือว่าเกาหลีเหนือจะแทรกซึมเข้าสู่เกาหลีใต้ เพื่อบังคับใช้กฎอัยการศึก กำลังทหารจะถูกส่งไปยังหลายๆส่วนของประเทศ สำนักงานหน่วยข่าวกรองกลางซึ่งจัดการข่าวลือเหล่านี้ภายใต้คำสั่งของช็อน นายพลวิกแฮม (กองทัพอเมริกันที่ประจำการในเกาหลี) รายงานว่า การมองโลกในแง่ร้ายของช็อนในการประเมินสถานการณ์ภายในประเทศและความตึงเครียดของเขาในเรื่องการคุกคามของเกาหลีเหนือดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างในการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี[5] การขยายกฎอัยการศึกในการปิดมหาวิทยาลัย ห้ามการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง การเพิ่มข้อจำกัดกับฝูงชน เหตุการณ์ในวันที่ 17 พฤษภาคมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อำนาจเผด็จการทหาร
ชาวเมืองหลายคนมีความไม่พอใจเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการที่กองกำลังทหารมาตั้งอยู่ในเมือง ในวันที่ 18 พฤษภาคม ประชาชนเมืองกวางจูได้จัดการเคลื่อนไหวซึ่งได้เป็นที่รู้จักกันในเหตุการณ์ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจู ช็อนมีคำสั่งให้หยุดยั้งเหตุการณ์นี้และได้ส่งกองกำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในเมือง และนำไปสู่การฆาตกรรมหมู่ตลอดระยะเวลาสองวัน ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยและความตายของนักเคลื่อนไหวในเมืองกวางจูนับร้อยคน
เส้นทางสู่ประธานาธิบดี
[แก้]ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2523 ช็อนมีคำสั่งยุบสภาแห่งชาติ ลำดับต่อมาได้ก่อตั้งคณะกรรมการนโยบายป้องกันชาติฉุกเฉินขึ้น และตั้งตัวเองเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนั้น ในวันที่ 17 กรกฎาคม ช็อนลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง และก็ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการในคณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นเท่านั้น
วันที่ 5 สิงหาคม ช็อนได้เลื่อนยศเป็นนายพลผู้มีอำนาจเต็ม ในวันที่ 22 สิงหาคม ช็อนได้รับอนุญาตให้กลับจากหน้าที่สู่ทหารกองหนุน
สาธารณรัฐเกาหลีที่ 5
[แก้]ประธานาธิบดีวาระที่ 11 ของเกาหลีใต้ (2523-2524)
[แก้]ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2523 ประธานาธิบดี เช กิวฮา ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันที่ 27 สิงหาคม สภาแห่งชาติเพื่อการรวมประเทศ ในขณะนั้นถูกควบคุมโดยคณะผู้เลือกตั้งแห่งเกาหลีใต้ ได้ลงคะแนนเลือกนายช็อนเป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เพราะนายช็อนเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2523 เป็นประธานาธิบดีวาระที่ 11 ของสาธารณรัฐเกาหลี
วันที่ 17 ตุลาคม ช็อนได้ใช้อำนาจสั่งการยุบพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึง "พรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตย" ซึ่งได้จัดไว้เป็นฐานอำนาจของ พัก จองฮี ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2524 ช็อนได้ร่างพรรคการเมืองของตนขึ้นมาคือ พรรคยุติธรรมประชาธิปไตย (ดีเจพี) อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจและเจตนาทั้งหมดก็คงเป็นพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตยแต่อยู่ในชื่ออื่นเท่านั้น ภายหลังจากนั้นไม่นาน ช็อนได้รับเอารัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ยังมีความเป็นเผด็จการน้อยกว่ารัฐธรรมนูญยูซินของพัก ซึ่งยังคงให้อำนาจในการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างยุติธรรม ช็อนเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งเป็นสิทธิของเขา และกลายเป็นประธานาธิบดีวาระที่ 12 ของสาธารณรัฐเกาหลี
"บันทึกข้อความเกี่ยวกับขีปนาวุธ"
[แก้]ใน พ.ศ. 2523 ในขณะที่เผชิญความตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมทาวทหารของช็อน ประธานาธิบดีช็อนได้ออกบันทึกข้อความว่าประเทศเกาหลีใต้จะไม่พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลเกินกว่า 180 กิโลเมตรหรือความสามารถของหัวรบที่หนักกว่า 453 กิโลกรัม ภายหลังจากได้รับคำสัญญานั้น รัฐบาลของโรนัลด์ เรแกน ก็ได้ให้การรับรองรัฐบาลทหารของช็อน
ในปลายทศวรรษที่ 90 เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาได้คุยกับในเรื่องบันทึกข้อความเกี่ยวกับขีปนาวุธ แทนที่จะทำให้บันทึกข้อความนี้สมบูรณ์อย่างเต็มที่ ทั้งสองประเทศได้ตกลงอนุญาตขยายให้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลได้ 300 กิโลเมตร และมีความสามารถของหัวรบ 500 กิโลกรัม ข้อสัญญานี้จะมีผลในปี พ.ศ. 2544 ภายใต้ชื่อระบบควบคุมเทคโนโลยีขีปนาวุธ
ประธานาธิบดีวาระที่ 12 ของเกาหลีใต้ (2524-2531)
[แก้]ภายหลังจากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีลำดับที่ 12 ของสาธารณรัฐเกาหลีในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ช็อนได้ปฏิเสธความเป็นประธานาธิบดีของพัก จองฮี ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่อการโจมตีจากการอ้างอิงจากเรื่องการปฏิวัติเดือนเมษายนของพักที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ช็อนประกาศว่าจะฟื้นฟูความยุติธรรมกลับมาสู่รัฐบาลก็กำจัดความฉ้อฉลและการฉ้อราษฎร์บังหลวงของประธานาธิบดีพัก จองฮี[6] เป็นการเริ่มต้นด้วยการล้มล้างเป็นการฝึกฝนที่จะเป็นประธานาธิบดีมากกว่าหนึ่งสมัย และขยายสมัยของประธานาธิบดีเป็นเจ็ดปี ช็อนได้สรุปส่วนสำคัญว่าเป้าหมายของเขาคือโปรแกรมช่วยเหลือสวัสดิการสังคม,ตรึงราคาสินค้า,กำจัดอาชญากร,พัฒนาเศรษฐกิจ,ประสบความสำเร็จในการจัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 ที่เกาหลีจะเป็นเจ้าภาพ,และภาพรวมการค้าระหว่างประเทศเป็นไปได้ด้วยดี
ช็อนบริหารประเทศแบบเผด็จการ อย่างไรก็ตาม เขาก็มีอำนาจน้อยเมื่อเทียบกับพัก สมัยพักเป็นประธานาธิบดี ในการใช้อำนาจในหลายๆส่วนของช็อนค่อนข้างจะอ่อนแอ
แผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
[แก้]ทฤษฎีที่ว่าประธานาธิบดีช็อนพยายามที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และได้ล้มเลิกโครงการไปตามคำกล่าวอ้างของสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลของช็อนไม่ได้มีอิทธิพลทางการเมืองที่สำคัญเหมือนอย่างในสมัยที่พักเป็นประธานาธิบดี รัฐบาลของเขาไม่อาจละเลยความต้องการของสหรัฐอเมริกา และเขาไม่มีทางเลือกจึงต้องยุติการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์[7][8] ช็อนกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และอเมริกา ซึ่งอาจนำมาซึ่งจุดจบอย่างสำคัญของอำนาจเผด็จการอย่างยาวนานของพัก จองฮี และชุนอยากได้การรับรองอย่างถูกต้องของรัฐบาลของเขาตามกฎหมายจากสหรัฐอเมริกา
การปฏิรูปการเมือง
[แก้]ภายหลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ช็อนจำกัดการติวนอกโรงเรียนและห้ามการสอนตัวต่อตัวหรือการติวแบบตัวต่อตัว
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2523 ช็อนได้ยกเลิก กฎหมายที่กำหนดความผิดของการรวมกลุ่มสมาคม
ใน พ.ศ. 2524 ช็อนได้ออกกฎหมาย "แคร์แอนคัสทูดี" (Care and Custody) ช็อนเชื่อว่า อาชญากรที่พึ่งพ้นจากคุกมาจะไม่กระทำผิดซ้ำอีกทันทีที่กลับเข้าสู่สังคม
ในฤดูหนาวปี พ.ศ. 2527 ก่อนที่ช็อนจะประกาศหยุดพักการชำระหนี้ของเกาหลีใต้ ช็อนได้ไปเยือนญี่ปุ่นและขอกู้ยืมเงินหกพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากการรัฐประหารยึดอำนาจและการปะทะหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วประเทศ การเมืองภาคพลเมืองมีความต้องการที่จะไม่ใส่ใจ และในวิถีทางนโยบาย 3เอสคือ เอส-เซ้กส์,เอส-สกรีนและเอส-สปอร์ต นั่นผ่านความเห็นชอบ บนพื้นฐานในทางที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของนักกิจกรรมชาวญี่ปุ่น เซจิมะ เรียวโจ โดยช็อนพยายามที่จะดึงดูดประชาชนเพื่อที่จะเป็นการรับประกันว่าการเตรียมการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนใน พ.ศ. 2531 จะประสบความสำเร็จ ช็อนได้ออกกฎหมายหลายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อทำสิ่งนี้ให้เสร็จสิ้น เช่น ร่างลีกเบสบอล,ฟุตบอลอาชีพ,เริ่มถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์สีให้ครอบคลุมทั่วประเทศบรรเทาการเซ็นเซอร์ที่อยู่ในภาพยนตร์และละคร,สร้างเครื่องแบบนักเรียนและอื่นๆ
ใน พ.ศ. 2524 ช็อนได้จัดการเทศกาล "โคเรียน บรีซ" อย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากรประชาชน
ความพยายามลอบสังหาร
[แก้]ความพยายามลอบสังการเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2526 โดยสายลับชาวเกาหลีเหนือ ระหว่างช็อนไปเยือนพม่า ระเบิดในครั้งนั้นได้ทำให้ผู้ติดตามของช็อน 17 คน รวมถึงคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ชาวพม่า 4 คน[9]
นโยบายด้านต่างประเทศ
[แก้]ช็อน ดู-ฮวันเป็นประธานาธิบดีในช่วงที่สงครามเย็นถึงจุดสูงสุด และนโยบายทางด้านการต่างประเทศของเขาทำให้มีการยุติกับประเทศคอมมิวนิสต์ไปรอบบริเวณ ไม่เพียงจากเกาหลีเหนือ อีกด้วย หลังจากนั้นเริ่มสถาปนาทางการทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน
ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
[แก้]สหรัฐอเมริกาได้กดดันให้เกาหลีใต้ยุติแผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น
[แก้]หนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่นได้รายงานอย่างกว้างขวางว่าช็อนเป็นผู้นำโดยพฤตินัย ของประเทศหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวสู่การเป็นประธานาธิบดี
ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ
[แก้]ใน พ.ศ. 2525 ช็อนได้ประกาศ "โครงการการรวมชาติอย่างสันติของประชาชนชาวเกาหลี" แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากเกาหลีเหนือว่าโครงการนี้ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นได้
ความสัมพันธ์กับฟิลิปปินส์
[แก้]จาก พ.ศ. 2529 ถึง 2531 ช็อนและประธานาธิบดีคอราซอน อากีโนของฟิลิปปินส์ ได้พูดคุยกันระหว่างสองประเทศเพื่อที่จะสร้างเศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งทางด้านสังคมและความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ
การสิ้นสุดสาธารณรัฐที่ 5
[แก้]โน ชินยอง
[แก้]จากจุดเริ่มต้นในการเป็นประธานาธิบดีของช็อนได้จัดเตรียมการให้ โน ชินยองเป็นผู้สืบทอดอำนาจของเขา ใน พ.ศ. 2523 ขณะที่เป็นเอกอัครราชทูตประจำอยู่ที่เจเนวา โนชินยองได้ถูกเรียกกลับ และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2525 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และใน พ.ศ. 2528 ก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อเรื่องนี้เป็นที่แพร่หลาย ผู้สนับสนุนช็อนได้ทำการวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการเลือกผู้สืบทอดอำนาจ ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีส่วนกับกองทัพ ซึ่งเชื่อว่าผู้สืบทอดอำนาจของช็อนก็ต้องมาจากกองทัพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่มาจากตำแหน่งทางการเมือง และในที่สุดแล้วช็อนก็ได้ทำให้กระจ่างโดยการเปลี่ยนตำแหน่งของโน ไม่ให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจของเขา
ถนนสู่ประชาธิปไตย
[แก้]รัฐธรรมนูญปี 2524 ได้กำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นได้หนึ่งสมัย สมัยละ 7 ปี ในขณะที่ช็อนไม่พยายามที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนั้นช็อนสามารถที่จะกลับมาทำงานได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2530 ทำให้เขามีข้ออ้างในการต่อต้านประชาธิปไตย
ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2530 ช็อนได้กล่าวสุนทรพจน์ "การปกป้องรัฐธรรมนูญ" เขาประกาศว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เขาสามารถที่จะจัดการกับอำนาจเหนือกองทัพที่สนับสนุนเขาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 บนพื้นฐานของการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยทางอ้อมคล้ายกับการเลือกตั้งของช็อนเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา คำประกาศดังกล่าวทำให้ผู้รักประชาธิปไตยในเกาหลีใต้โกรธแค้น และในการทำเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่องที่กระทำร่วมกันของรัฐบาลช็อนในปีนั้น ทำให้ผู้ประท้วงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เริ่มด้วยการประกาศสุนทรพจน์ที่โบสถ์โซลอีพิสคะเพิลแอนเจลลิก และในที่สุดก็นำไปสู่การเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยในเดือนมิถุนายน
เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้ รัฐบาลของช็อนจึงต้องประนีประนอม และในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2531 เขาประกาศว่าโนห์ แทวู เป็นตัวแทนจากพรรคยุติธรรมประชาธิปไตย (ดีเจพี) และนี่จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในรอบ 30 ปีของเกาหลี ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ช็อนประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคดีเจพี เหลือเพียงตำแหน่งประธานผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ก็ยังให้เป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการที่จะสามารถควบคุมการเลือกตั้งที่จะมาถึงของ โนห์
การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2530
[แก้]ครบสมัยการเป็นประธานาธิบดีของช็อน และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 โนห์ชนะการเลือกตั้งในการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกในรอบ 30 ปีของเกาหลี โดยชนะคู่แข่งอย่าง คิม แดจุง และ คิม ยองซัม
ชีวิตหลังจากตำแหน่งประธานาธิบดี
[แก้]ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ในการลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเพราะสิ้นสุดสมัยของเขา ช็อนยังมีชื่อเป็นประธานของคณะกรรมการรัฐบุรุษแห่งชาติ และจากตำแหน่งนี้ทำให้เขายังมีอิทธิพลในการเมืองระดับชาติอยู่ และในปีนั้นพรรคดีเจพีเสียที่นั่งในการเลือกตั้งสภาระดับชาติให้กับฝ่ายค้านหลายที่นั่ง ปูทางไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "การไต่สวนสาธารณรัฐที่ 5" การไต่สวนนี้รัฐสภาได้จุดประกายเรื่องเหตุการณ์ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูและจะเป็นผู้รับผิดชอบอย่างไรกับการฆาตกรรมหมู่ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ช็อนได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อหน้าสาธารณชนทั่วประเทศ และให้เงินของเขากลับคืนสู่ประเทศช็อนลาออกจากทั้งตำแหน่งประธานคณะกรรมการรัฐบุรุษแห่งชาติและตำแหน่งในพรรคดีเจพี
โน แทอู
[แก้]ช็อนเป็นผู้ให้การสนับหลักในการเป็นประธานาธิบดีของโนห์ แทวู
คิม ยองซัม
[แก้]ภายหลังคิม ยองซัมทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีใน พ.ศ. 2536 คิมประกาศว่าระหว่างสมัยของ ช็อน ดู-ฮวัน กับสมัยของ โนห์ แทวู นั้นมีการรับสินบนถึง 4 แสนล้านวอน และพวกเขาต้องถูกควบคุมตัวเพื่อไต่สวนพิสูจน์ความจริง
การสืบสวน ช็อนและโนห์
[แก้]ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ประชาชนพากันร้องไห้อย่างเสียงดัง ในเรื่องเกี่ยวกับการรัฐประหาร 12 ธันวาคม พ.ศ. 2521 และเหตุการณ์นองเลือดในกวางจู ดังนั้น คิม ยองซัมได้ประกาศเริ่มต้นการเคลื่อนไหวออกกฎหมายเอาผิดย้อนหลัง ที่มีชื่อว่า ร่างรัฐบัญญัติพิเศษ 5-18 การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่าการกระทำของช็อนขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้พนักงานอัยการเริ่มทำการสืบสวนอีกครั้ง ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ช็อนและอีก 16 คนถูกจับกุมในข้อหาสมคบคิดและก่อการกบฏ ในเวลาเดียวกันการสืบสวนในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 การไต่สวนต่อสาธารณชนก็เริ่มต้นขึ้น วันที่ 26 สิงหาคม ศาลเขตกรุงโซลก็มีคำพิพากษาประหารชีวิต ต่อมาในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ศาลสูงเขตกรุงโซลได้ออกคำพิพากษาให้จำคุกและจ่ายค่าปรับคำนวณ 220,500,000,000 วอน ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2540 การตัดสินคดีได้มาถึงที่ศาลสูง ช็อนได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด เป็นผู้นำในการก่อการจลาจล,สมคบคิดในการก่อจลาจล,เข้าไปมีส่วนร่วมในการจลาจล,ออกคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยมิชอบ,ละทิ้งหน้าที่ระหว่างกฎอัยการศึก,ฆาตกรรมข้าราชการระดับสูง,พยายามฆาตกรรมข้าราชการระดับสูง,ฆาตกรรมนายทหารผู้ใต้บังคับบัญชา,เป็นผู้นำในการก่อการกบฏ,สมคบคิดในการก่อกบฏ,เข้าไปมีส่วนร่วมในการกบฏ,ฆาตกรรมโดยมีเหตุจูงใจเพื่อก่อกบฏและอาชญากรรมอย่างหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบน
ภายหลังศาลได้อ่านคำพิพากษา ช็อนเริ่มต้นชีวิตในเรือนจำ ในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2540 คำพิพากษาของช็อนได้รับการลดโทษโดยประธานาธิบดี คิม ยองซัม ด้วยคำแนะนำของคิม แดจุง แต่ช็อนไม่ได้รับการลดโทษในส่วนที่เกี่ยวกับค่าปรับ เขาได้จ่ายจ่ายเพียง 53,200,000,000 วอน ไม่ถึงหนึ่งในสี่ส่วนของค่าปรับทั้งหมดที่ศาลพิพากษา ช็อนได้กล่าวคำพูดที่มีชื่อเสียง โดยกล่าวว่า "ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินเพียง 25,000 วอนเท่านั้นที่อยู่ในชื่อของฉัน" ที่เหลืออีก 167,300,000,000 วอนนั้น ช็อนไม่เคยได้จ่ายเลย
การเรียกคืนเหรียญตราทางทหาร
[แก้]จากกฎหมาย "รัฐบัญญัติพิเศษ 18 พฤษภาคม" เหรียญตราทั้งหมดสำหรับทหารในการเข้าแทรกแซงขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในกวางจูได้ถูกเรียกกลับคืนสู่รัฐบาล แต่ก็ยังเหลืออีก 9 เหรียญที่ยังไม่ได้คืนให้รัฐบาล
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]- พ.ศ. 2524 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.)[10]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Former South Korean military dictator Chun Doo-hwan dies at 90
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Choi Jin (최진) (30 October 2008). "대통령의 아버지, 누구인가?…가난한 농사꾼에서 거제도 갑부까지 ①" [Who is the father of the president?...From a poor farmer to a rich man of Geoje Island]. JoongAng Ilbo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-04. สืบค้นเมื่อ 31 October 2009.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "전두환" [Chun Doo-hwan] (ภาษาเกาหลี). Nate People (Nate 인물검색). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-01. สืบค้นเมื่อ 4 November 2009.
- ↑ 4.0 4.1 Jo, Gap-je (조갑제) (7 December 1997). "(박정희의 생애) "내 무덤에 침을 뱉어라!"... (48)" [(Biography of Park Chung-hee) "Spit on my grave!"... (48)] (ภาษาเกาหลี). The Chosun Ilbo. สืบค้นเมื่อ 1 November 2009.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ United States Government Statement on the Events in Gwangju, Republic of Korea, in May 1980
- ↑ Jeon, Jae-ho (전재호) (2000). 반동적 근대주의자 박정희 [Reactionary Modernist, Park Chung-hee (Bandongjeok geundaejuuija Bak Jeong-hui)] (ภาษาเกาหลี). South Korea: 책세상 (Chaeksesang). pp. 112–113. ISBN 9788970131481.
- ↑ Park, Jong-jin (박종진) (23 September 2004). "(한반도 핵) 무궁화 꽃이 피었습니까?". Hankooki (ภาษาเกาหลี). สืบค้นเมื่อ 4 November 2009.
- ↑ Seo, Byeong-gi (서병기) (18 July 2005). "'제5공화국' 전두환,핵무기개발 포기 방영후 네티즌 비난" [After the broadcasting of 'The 5th Republic' that the President, Chun Doo-hwan gave up developing nuclear weapons, Netizens criticized] (ภาษาเกาหลี). Korea Herald Business. สืบค้นเมื่อ 4 November 2009.
- ↑ 2 get death for info leak เก็บถาวร 2012-09-09 ที่ archive.today News24
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นายเชิน ดู ฮวาน เก็บถาวร 2014-12-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๐๐, ตอน ๑๐๒ , ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ,ฉบับพิเศษหน้า ๑๒